การดูเมฆ ทำให้เรารู้ว่า
- มีไอน้ำในอากาศมากน้อยแค่ไหน
- รู้ทิศทางลม กับความเร็วลม โดยดูจากการเคลื่อนที่ของเมฆ
- รู้กว่าอีกสักพัก ไม่นานจะมีฝนตก หรือกำลังจะมีพายุ หรือถ้าฝนตกจะตกนานมั้ย
- รู้ว่าวันนี้อากาศจะดีมั้ยหนอ
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจเมฆก่อน เมฆซึ่งเกิดขึ้นในธรรมชาติมี 2 รูปร่างลักษณะคือ เมฆก้อน และเมฆแผ่น
เมฆก้อน หรือ Cumulus Clouds |
เมฆแผ่น หรือ Stratus Clouds |
เราเรียกเมฆก้อนว่า “เมฆคิวมูลัส” (Cumulus) และเรียกเมฆแผ่นว่า “เมฆสเตรตัส” (Stratus)
หากเมฆก้อนลอยชิดติดกัน เรานำชื่อทั้งสองมารวมกัน และเรียกว่า “เมฆสเตรโตคิวมูลัส” (Stratocumulus)
ในกรณีที่เป็นเมฆฝน เราจะเพิ่มคำว่า “นิมโบ” หรือ “นิมบัส” (Nimbus) ซึ่งแปลว่า “ฝน” เข้าไป
เช่น เราเรียกเมฆก้อนที่มีฝนตกว่า “เมฆคิวมูโลนิมบัส” (Cumulonimbus)
และเรียกเมฆแผ่นที่มีฝนตกว่า “เมฆนิมโบสเตรตัส” (Nimbostratus)
คิวมูลัส/คิวมูโล (Cumulus/Cumulo) = ก้อน หรือทับถมกันเป็นกอง
สเตรตัส/สเตรโต (Stratus/Strato) = แผ่น หรือ ลักษณะเป็นชั้นๆ
อัลโต (Alto) = กลาง
เซอโร/เชอรัส (Cirro) = สูง
นิมโบ/นิมบัส (Nimbo/Nimbus) = ฝน
พอรู้รากศัพท์แล้ว ก็น่าจะนำไปใช้ได้ไม่ยากเพราะจะเอาคำต่างๆมาผสมกันเป็นชื่อเมฆแบบต่างๆ ถ้าจะไม่ให้งงกับชื่อเมฆ ให้จำรากศัพท์ด้านบนเป็นเกณฑ์นะครับ...
เมฆคิวมูโลนิมบัส Cumulonimbus clouds |
เมฆนิมโบสเตรตัส Nimbostratus clouds |
เมฆเซอโรสเตรตัส Cirrostratus clouds |
เพื่อให้จำง่ายในมาในรูปแบบบทกลอน
เมฆเป็นก้อน เขาเรียก คิวมูลัส สเตรตัส เป็นแผ่น ชั้นไสๆ
เมฆเซอรัส คล้ายขนสัตว์ ริ้วพิมพ์ใจ ทรงกลดไซร์ เมฆเซอโร สเตรตัส
ฝนตกหนัก พายุ ฟ้าคะนอง ขอบอกน้อง คิวมูโล นิมบัส
ฝนพรำๆ ฉ่ำทั่ว แต่ไม่หนัก เมฆนิมโบ สเตรตัส ชัดเจนเอย...
แบ่งเมฆตามระดับความสูง
เมฆยังอาจแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ตามระดับความสูงของเมฆ โดยระดับความสูงของเมฆนี้จะวัดจากฐานของก้อนเมฆ ไม่ได้วัดจากยอด โดย Luke Howard เป็นผู้นำเสนอวิธีการแบ่งกลุ่มแบบนี้ แก่ Askesian Society ในปี ค.ศ. 1802
ซึ่ง การแบ่งตามระดับความสูงจะใช้ในการตรวจและแบ่งชนิดของเมฆทางอุตุนิยมวิทยา สำหรับเป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อผลทางการวิเคราะห์สภาพลมฟ้าอากาศในการ พยากรณ์ โดยใช้ความสูงของฐานเมฆเป็นหลักในการแบ่งชนิด ซึ่งลักษณะของเมฆแต่ละชนิดนั้นสามารถที่จะบอกให้ทราบถึงแนวโน้มลักษณะของ สภาวะอากาศที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้ เช่น ถ้าในท้องฟ้ามีเมฆก่อตัวในทางแนวตั้งแสดงว่าอากาศกำลังลอยตัวขึ้น หมายถึง สภาวะของอากาศก่อนที่จะเกิดลมพายุ
หรือถ้าเมฆในท้องฟ้าแผ่ตามแนวนอนเป็นชั้นๆ หมายถึง สภาวะอากาศที่สงบและจะมีกระแสลมทางแนวตั้งเล็กน้อย หรือถ้าเมฆในท้องฟ้าก่อตัวทางแนวตั้งสูงใหญ่ จะหมายถึงลักษณะของเมฆพายุฟ้าคะนอง ที่เรียกว่า เมฆคิวมูโลนิมบัส ฝนจะตกหนักและมีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง บางครั้งอาจมีฟ้าผ่าลงมายังพื้นดินด้วย ซึ่งเมฆพายุฟ้าคะนองนี้เป็นอันตรายเพราะจะมีลมกรรโชกแรง คลื่นแปรปรวน
1. เมฆชั้นต่ำ (Low Clouds) เกิดขึ้นที่ระดับต่ำกว่า 2 กิโลเมตร
เมฆสเตรตัส (Stratus)
เมฆสเตรตัส (Status Clouds) |
เมฆสเตรโตคิวมูลัส (Stratocumulus หรือมาจาก Strato + Cumulus)
เมฆสเตรโตรคิวมูลัส (Stratocumulus) |
เมฆนิมโบสเตรตัส (Nimbostratus หรือมาจาก Nimbo + Stratus)
เมฆนิมโบสเตรตัส (Nimbostratus) |
2. เมฆชั้นกลาง (Middle Clouds) เกิดขึ้นที่ระดับสูง 2 - 6 กิโลเมตร
เมฆอัลโตคิวมูลัส (Altocumulus หรือมาจาก Alto + Cumulus)
เมฆอัลโตคิวมูลัส (Altocumulus) |
เมฆอัลโตสเตรตัส (Altostratus หรือมาจาก Alto + Status)
เมฆอัลโตสเตรตัส (Altostratus Clouds) |
3. เมฆชั้นสูง (High Clouds) เกิดขึ้นที่ระดับสูงมากกว่า 6 กิโลเมตร
เมฆเซอโรคิวมูลัส (Cirrocumulus หรือมาจาก Cirro + Cumulus)
เมฆเซอโรคูมูลัส (Cirrocumulus) |
เมฆเซอโรสเตรตัส (Cirrostratus หรือมาจาก Cirro + Stratus)
เมฆเซอโรสเตรตัส (Cirrostratus) |
บางครั้งหักเหแสง ทำให้เกิดดวงอาทิตย์ทรงกลด และดวงจันทร์ทรงกลด เป็นรูปวงกลม สีคล้ายรุ้ง
เมฆเซอรัส (Cirrus Clouds)
เมฆเซอรัส |
เมฆริ้ว สีขาว รูปร่างคล้ายขนนก เป็นผลึกน้ำแข็ง มักเกิดขึ้นในวันที่มีอากาศดี ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้ม
4. เมฆก่อตัวในแนวตั้ง (Clouds of Vertical Development)
เมฆคิวมูลัส (Cumulus)
เมฆคิวมูลัส (Cumulus Clouds) |
ฐานเมฆเป็นสีเทาเนื่องจากมีความหนามากพอที่จะบดบังแสง จนทำให้เกิดเงา
มักปรากฏให้เห็นเวลาอากาศดี ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้ม
เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus)
เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) |
ทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง หากกระแสลมชั้นบนพัดแรง ก็จะทำให้ยอดเมฆรูปกะหล่ำ กลายเป็นรูปทั่งตีเหล็ก ต่อยอดออกมาเป็น เมฆเซอโรสเตรตัส หรือเมฆเซอรัส
ข้อสังเกตุ
- ช่วงกลางคืนสามารถสังเกตเมฆก่อตัวในแนวตั้งได้ด้วยการดูฟ้าแลบในกลุ่มก้อนเมฆ ถ้าฟ้าแลบในแนวตั้งมากกว่าแนวนอนแสดงว่า กลุ่มเมฆฝนกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหาเรา แต่ถ้าฟ้าแลบ ในแนวนอน มากกว่าแนวตั้งแสดงถึงกลุ่มเมฆฝนเหล่านั้นกำลังเคลื่อนตัวไปจากพื้นที่ซึ่งเรายืนอยู่
- การก่อตัวของเมฆในแนวตั้งจะใช้เวลาไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง หากเราเห็นการก่อตัวของเมฆเหล่านี้ควรเตรียมตัวเก็บข้าวของที่อยู่บนเรือ หรือหากไม่ออกเรือไปไหนควรเตรียมหาที่จอดเรือที่ดี หรือมีที่กำบัง เพราะเมื่อเกิดฝนจะมีฟ้าผ่า และมีลมกรรโชก
- ถ้าเกิดฟ้าผ่าควรอยู่ในที่กำบัง เช่น อาคาร ไม่ควรอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งจะเป็นจุดเสี่ยงที่ฟ้าจะผ่า และควรถอดเครื่องประดับที่เป็นสื่อนำ เช่น แหวน สร้อย ทองแดง ออกจากร่างกาย และปิดมือถืองดการใช้วิทยุสื่อสาร
- หากเมฆสูงเป็นริ้วเหมือนหางม้าแสดงว่า อากาศวันนั้นดี แต่ถ้าท้องฟ้าเหลือง- แดง ลมสงบให้เตรียมตัวเพราะไม่นานจะมีพายุฝนเกิดขึ้น
ปัจจัยทำให้เกิดฝนที่ไม่สามารถสังเกตด้วยตาเปล่า
- มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ นำความร้อนจากคาบสมุทรอินเดียมาไทย ส่วนใหญ่ตกในภาคใต้และภาคตะวันออก จะตกในช่วงบ่ายและค่ำ มีโอกาสที่จะก่อตัว เป็นเมฆในแนวตั้ง
- ร่องมรสุม เกิดจากกระแสลม ฝั่งเหนือและใต้พัดเข้าหากัน จนมีการยกตัวของอากาศ ทำให้ฝนตกทั้งวันทั้งคืน แต่ ไม่มีลมแรง ถ้าเป็นมรสุมแรงจะเกิดฟ้าผ่าได้
- พายุหมุนเขตร้อน เกิดจากพายุไต้ฝุ่น-ดีเปรสชัน-ไซโคลน ทำให้ฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้างหลายจังหวัด ซึ่งถ้ามีการประสานของสองพายุจะทำให้มีความแรงขึ้น
สีของเมฆนั้นบ่งบอกถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเมฆ ซึ่งเมฆเกิดจากไอน้ำลอยตัวขึ้นสู่ที่สูง เย็นตัวลง และควบแน่นเป็นละอองน้ำขนาดเล็ก ละอองน้ำเหล่านี้มีความหนาแน่นสูง แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องทะลุผ่านไปได้ไกลภายในกลุ่มละอองน้ำนี้ จึงเกิดการสะท้อนของแสงทำให้เราเห็นเป็นก้อนเมฆสีขาว ในขณะที่ก้อนเมฆกลั่นตัวหนาแน่นขึ้น และเมื่อละอองน้ำเกิดการรวมตัวขนาดใหญ่ขึ้นจนในที่สุดตกลงมาเป็นฝน ในระหว่างกระบวนการนี้ละอองน้ำในก้อนเมฆซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีช่องว่าง ระหว่างหยดน้ำมากขึ้น ทำให้แสงสามารถส่องทะลุผ่านไปได้มากขึ้น ซึ่งถ้าก้อนเมฆนั้นมีขนาดใหญ่พอ และช่องว่างระหว่างหยดน้ำนั้นมากพอ แสงที่ผ่านเข้าไปก็จะถูกซึมซับไปในก้อนเมฆและสะท้อนกลับออกมาน้อยมาก ซึ่งการซึมซับและการสะท้อนของแสงนี้ส่งผลให้เราเห็นเมฆตั้งแต่ สีขาว สีเทา ไปจนถึง สีดำ
โดยสีของเมฆนั้นสามารถใช้ในการบอกสภาพอากาศได้
- เมฆสีเขียวจางๆ นั้น เกิดจากการกระเจิงของแสงอาทิตย์เมื่อตกกระทบน้ำแข็ง เมฆคิวมูโลนิมบัส ที่มีสีเขียวนั้นบ่งบอกถึงการก่อตัวของ พายุฝน พายุลูกเห็บ ลมที่รุนแรง หรือ พายุทอร์นาโด
- เมฆสีเหลือง ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยครั้ง แต่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดไฟป่าได้ง่าย โดยสีเหลืองนั้นเกิดจากฝุ่นควันในอากาศ
- เมฆสีแดง สีส้ม หรือ สีชมพู นั้นโดยปกติเกิดในช่วง พระอาทิตย์ขึ้น และ พระอาทิตย์ตก โดยเกิดจากการกระเจิงของแสงในชั้นบรรยากาศ ไม่ได้เกิดจากเมฆโดยตรง เมฆเพียงเป็นตัวสะท้อนแสงนี้เท่านั้น แต่ในกรณีที่มีพายุฝนขนาดใหญ่ในช่วงเดียวกันจะทำให้เห็นเมฆเป็นสีแดงเข้ม เหมือนสีเลือด
การดูเมฆเป็นการพยากรณ์อย่างง่าย ๆ ซึ่งนักเล่นเรือควรสนใจ เพราะใช้เพียงการสังเกตและดูปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่รอบๆตัวเราอย่างเข้าใจ การเดินทางทางน้ำ โดยเฉพาะทางทะเล มีข้อให้คำนึงมากกว่าการเดินทางด้วยวิธีอื่น สิ่งสำคัญคือ ธรรมชาติมีการบอกเตือนเราล่วงหน้าก่อนเสมอ ด้วยวิธีการแบบธรรมชาติ เพียงแต่เราจะมีความรู้สึก รับสัมผัส สังเกตุเห็น และเรียนรู้มากพอที่จะเข้าใจธรรมชาติหรือเปล่า ...
ขอบคุณครับสำหรับข้อสรุป ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น
ตอบลบ